ผู้ปกครองหลายคนกังวนเรื่อง สุขภาพช่องปากของลูก และพยายามสร้างสุขนิสัยที่ดีให้กับลูกๆ แต่เมื่อปฏิบัตรจริงแล้วอาจจะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ หากใช้วิธีการบังคับเกินไปก็อาจทำให้เด็กๆเกลียดการทำสิ่งนั้นไปเลย ในบทความนี้เราจะมาแนะนำผู้ปกครองในการสร้างสุขนิสัยที่ดี เพื่อให้ลูกๆรู้สึกเห็นความสำคัญของการดูแลสุขภาพฟัน
สุขนิสัยหมายถึงอะไร
สุขนิสัย คือการปฏิบัติตนหรือการดูแลรักษาสุขภาพในชีวิตประจำวันเพื่อป้องกันโรคและรักษาความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย และความสมดุลของร่างกายและจิตใจ สุขนิสัยที่ดีช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่แข็งแรงและทำให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สุขนิสัยที่ดีสำหรับเด็กมีอะไรบ้าง
- การแปรงฟันและดูแลช่องปาก
- การล้างมือก่อนรับประทานอาหารและหลังทำกิจกรรม
- การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- การนอนหลับให้เพียงพอ
- การจัดการกับอารมณ์
วิธีสร้างสุขนิสัยที่ดีสำหรับเด็ก
วิธีส่งเสริมสุขนิสัยที่ดีสำหรับเด็กเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะช่วยให้เด็กมีร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง รวมทั้งสร้างนิสัยที่ดีซึ่งจะติดตัวไปในระยะยาว ต่อไปนี้คือแนวทางสุขนิสัยที่ดีที่ควรสอนให้เด็กปฏิบัติ:
1.แปรงฟันให้สะอาดอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ควรสอนให้เด็กแปรงฟันอย่างถูกวิธีเป็นประจำทั้งเช้าและก่อนนอน และใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์เพื่อป้องกันฟันผุ สำหรับเด็กเล็ก พ่อแม่ควรช่วยแปรงและแนะนำการแปรงฟันอย่างถูกวิธี
2.ล้างมือเป็นประจำ การล้างมือด้วยสบู่ก่อนรับประทานอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ และหลังจากเล่นหรือสัมผัสสิ่งของต่าง ๆ จะช่วยป้องกันการแพร่เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย เป็นนิสัยที่จำเป็นในการรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน
3.ทานอาหารที่มีประโยชน์และหลากหลาย การทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนจะช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง ควรลดการทานขนมหวาน น้ำอัดลม หรืออาหารที่มีน้ำตาลสูง และเน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช และโปรตีนจากแหล่งที่ดี
4.ดื่มน้ำสะอาดเพียงพอ การดื่มน้ำที่เพียงพอตลอดวันช่วยให้ร่างกายทำงานได้ดี ช่วยขับสารพิษและรักษาความชุ่มชื้นให้กับร่างกาย แทนที่การดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลหรือสารเคมีที่ไม่ดีต่อสุขภาพ
5.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การเคลื่อนไหวร่างกายผ่านการเล่นหรือกิจกรรมออกกำลังกาย เช่น การวิ่ง เล่นกีฬา หรือเต้น ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ กระดูก และส่งเสริมสุขภาพกายและใจให้แข็งแรง
6.นอนหลับให้เพียงพอ ควรให้เด็กควรนอนหลับให้ครบ 8-10 ชั่วโมงต่อคืนเพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนและฟื้นฟู พ่อแม่ควรสร้างตารางเวลานอนที่สม่ำเสมอและควรปิดหน้าจอหรือแสงไฟก่อนนอนเพื่อช่วยให้เด็กหลับได้ง่ายขึ้น
7.รักษาความสะอาดของร่างกาย สอนให้เด็กอาบน้ำเป็นประจำ สวมเสื้อผ้าที่สะอาด และรักษาความสะอาดของเล็บมือและเท้าเพื่อป้องกันการติดเชื้อและโรคผิวหนัง
8.ดูแลสุขภาจิตใจให้ผ่อนคลาย การสอนให้เด็กเรียนรู้การจัดการอารมณ์ เช่น การเล่น การพูดคุย หรือการทำกิจกรรมที่ชอบจะช่วยลดความเครียดและส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดี การให้เด็กมีเวลาเล่นและทำกิจกรรมสร้างสรรค์เป็นการช่วยให้เขามีความสุขและมั่นใจในตนเอง
ข้อควรระวัง!
การปลูกฝังสุขนิสัยที่ดีสำหรับเด็กมีความสำคัญจริง แต่ก็มีข้อควรระวังบางประการเพื่อให้การสอนสุขนิสัยไม่ให้กลายเป็นปมหรือบังคับเด็กมากเกินไป ซึ่งเราได้รวบรวมข้อควรระวังนี้เพื่อผู้ปกครองเข้าใจและจะช่วยให้เด็กเข้าใจและยินดีที่จะปฏิบัติตาม
- อย่าบังคับหรือทำให้เด็กเครียด การบังคับให้เด็กทำสิ่งต่าง ๆ อย่างเคร่งครัดมากเกินไปอาจทำให้เด็กเกิดความเครียดและไม่อยากทำตาม ควรสอนอย่างนุ่มนวล อธิบายให้เขาเข้าใจถึงประโยชน์และสำคัญของสุขนิสัยที่ดีในแบบที่เข้าใจง่าย
- ไม่ควรเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่น การเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่นอาจทำให้เด็กเสียความมั่นใจและรู้สึกแย่กับตัวเอง ควรส่งเสริมให้เด็กรู้สึกภูมิใจในสิ่งที่เขาทำได้ และสนับสนุนให้พัฒนาต่อไปในจังหวะที่เหมาะสม
- ค่อยเป็นค่อยไป ควรสร้างสุขนิสัยทีละอย่างและให้เวลาที่เพียงพอสำหรับเด็กในการปรับตัว การพยายามเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่างพร้อมกันอาจทำให้เด็กสับสนและรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากที่จะปฏิบัติ
- ระวังไม่ให้เป็นการอบรมแบบซ้ำซาก การพูดหรือเน้นย้ำเรื่องเดียวบ่อยเกินไป อาจทำให้เด็กเกิดความเบื่อหน่ายและต่อต้านได้ ควรเปลี่ยนแปลงวิธีการให้ความรู้หรือให้เด็กได้มีโอกาสทดลองทำด้วยตนเองในรูปแบบที่สนุกสนานและมีส่วนร่วม
- ไม่ควรให้รางวัลหรือคำชมเชยมากเกินไป ควรให้คำชมเชยอย่างพอเหมาะ เพื่อให้เด็กไม่ติดกับการต้องได้รับรางวัลหรือคำชม ควรส่งเสริมให้เด็กรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองเพราะเขาได้ทำสิ่งดีต่อสุขภาพและเป็นการดูแลตนเอง
- ระวังการสร้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสุขภาพ ควรให้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพอย่างถูกต้องตามความเหมาะสมกับวัย เช่น การบอกว่า “น้ำตาลทำให้ฟันผุ” ควรอธิบายเหตุผลว่าเมื่อทานน้ำตาลแล้วไม่ได้แปรงฟัน เชื้อแบคทีเรียจะเติบโตและทำให้ฟันผุ เพื่อให้เด็กเข้าใจอย่างมีเหตุผล
- ระวังการทำให้เด็กกลัวมากเกินไป บางครั้งผู้ใหญ่อาจใช้วิธีการขู่ เช่น “ถ้าไม่แปรงฟันจะต้องไปหาหมอ” ซึ่งอาจทำให้เด็กกลัวการไปหาหมอฟัน ควรเปลี่ยนเป็นการอธิบายถึงประโยชน์ของการแปรงฟันที่ช่วยให้ฟันแข็งแรงและป้องกันปัญหาฟันผุ
- ไม่ควรคาดหวังมากเกินไปในระยะสั้น สุขนิสัยที่ดีต้องใช้เวลาปลูกฝังและให้เด็กมีเวลาเรียนรู้ ควรมีความเข้าใจและยอมรับว่าการเปลี่ยนนิสัยไม่ได้เกิดขึ้นได้ในทันที
การสร้างสุขนิสัยที่ดีในการดูแลฟันสำหรับเด็กเริ่มจากการปลูกฝังตั้งแต่วัยเยาว์ โดยเริ่มจากการแปรงฟันให้สะอาดอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งในตอนเช้าและก่อนนอน ควบคู่กับการใช้ไหมขัดฟันเพื่อทำความสะอาดซอกฟันที่แปรงเข้าไม่ถึง
นอกจากนี้ ควรส่งเสริมการทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงขนมหวานและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดฟันผุและเสริมสร้างฟันให้แข็งแรง การสร้างตารางเวลาที่สม่ำเสมอสำหรับการแปรงฟันจะช่วยให้เด็กคุ้นเคยและเกิดเป็นกิจวัตรประจำวันอย่างยั่งยืน
การให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลฟันอย่างเข้าใจง่ายและเป็นแบบอย่างที่ดีจากผู้ปกครอง จะช่วยให้เด็กมีทัศนคติที่ดีต่อการดูแลสุขภาพช่องปากของตนเอง
ควรพาเด็กไปพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือนเพื่อตรวจสุขภาพฟันและสร้างความคุ้นเคยกับการดูแลฟันอย่างถูกวิธี สุขนิสัยเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้เด็กมีสุขภาพฟันที่แข็งแรงในปัจจุบัน แต่ยังให้เห็นความสำคัญต่อสุขภาพช่องปากในระยะยาว