เคยสังเกตุไหมว่าเวลา แปรงฟัน ทำไมมักจะมีเลือดออก ปัญหา แปรงฟันแล้วเลือดออก นั้นอาจเป็นปัญหาใหญ่กว่าที่คุณคิดหากปล่อยปละละเลยไป เลือดออกขณะแปรงฟันอาจส่งผลให้เกิดโรคต่างๆตามมา เช่น เหงือกอักเสบ, เลือดออกตามไรฟัน, โรคปริทันต์ เป็นต้น
5 สาเหตุที่ทำให้แปรงฟันแล้วเลือดออก
อาการแปรงฟันแล้วเลือดออกมักเกิดจากสาเหตุหลายประการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพเหงือกและการดูแลช่องปากที่ไม่ถูกวิธี โดยสาเหตุหลักๆ ได้แก่ โรคเหงือกอักเสบ, โรคปริทันต์อักเสบ, การแปรงฟันที่ไม่ถูกวิธี, ขาดวิตามิน, การใช้ยาละลายลิ่มเลือด
1. โรคเหงือกอักเสบ (Gingivitis)
เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากการสะสมของคราบจุลินทรีย์และหินปูนบริเวณขอบเหงือก ทำให้เหงือกอักเสบและมีอาการบวมแดง เมื่อแปรงฟันจึงเกิดเลือดออกได้ง่าย
2. โรคปริทันต์อักเสบ (Periodontitis)
หากโรคเหงือกอักเสบไม่ได้รับการรักษา อาจลุกลามจนกลายเป็นโรคปริทันต์อักเสบ ซึ่งส่งผลให้เนื้อเยื่อและกระดูกที่รองรับฟันเกิดความเสียหาย และทำให้มีเลือดออกขณะแปรงฟัน
3. การแปรงฟันที่ไม่ถูกวิธีหรือการใช้แปรงสีฟันที่มีขนแข็งเกินไป
การใช้แปรงสีฟันที่ขนแปรงแข็ง หรือการแปรงฟันด้วยแรงมากเกินไป สามารถทำให้เหงือกได้รับการบาดเจ็บและมีเลือดออกได้ ควรเลือกใช้แปรงสีฟันขนนุ่มและแปรงด้วยแรงที่พอดี
4. ขาดวิตามิน C หรือ K
การขาดวิตามิน C หรือ K อาจทำให้เหงือกมีความเปราะบางและมีเลือดออกได้ง่าย เนื่องจากวิตามิน C มีบทบาทในการเสริมสร้างเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ขณะที่วิตามิน K มีบทบาทในการแข็งตัวของเลือด
5.การใช้ยาบางชนิด
ยาบางชนิด เช่น ยาละลายลิ่มเลือด (Anticoagulants) อาจทำให้มีเลือดออกง่ายขึ้น รวมถึงขณะแปรงฟัน
วิธีป้องกันไม่ให้แปรงฟันแล้วเลือดออก
วิธีรักษาเริ่มต้นด้วยการแปรงฟันอย่างถูกวิธีรวมถึงการเลือกแปรงสีฟันให้ถูกต้อง การดูแลเบื้องต้นอย่างถูกวิธีทำให้ลดต้นตอและสาเหตุต่างๆในการเกิดโรคเกี่ยวกับฟัน เช่น โรคปริทันต์, โรคเหงือกอักเสบ, เลือดออกตามไรฟัน ควรพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือนเพื่อทำความสะอาดฟันและตรวจสุขภาพช่องปากอย่างละเอียด หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะสารเคมีเหล่านี้จะทำให้เหงือกและเนื้อเยื่อในช่องปากอ่อนแอลงและมีโอกาสเกิดเลือดออกได้ง่าย
วิธีรักษาเมื่อแปรงฟันแล้วเลือดออก
การรับคำปรึกษาจากทันตแพทย์เพื่อหาสาเหตุอย่างถูกต้อง เมื่อทันตแพทย์วินิจฉัยสาเหตุแล้วจะสามารถรักษาได้อย่างตรงจุด
1.การรักษาโรคเหงือกอักเสบ (Gingivitis):
- แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันอย่างถูกวิธี: ควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดระหว่างซอกฟัน เพื่อกำจัดคราบจุลินทรีย์และแบคทีเรียที่สะสมอยู่บริเวณขอบเหงือก
- ขูดหินปูน: หากมีหินปูนสะสมที่ขอบเหงือก ควรพบทันตแพทย์เพื่อตรวจและขูดหินปูนออก เพราะหินปูนเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการอักเสบของเหงือก
2.การรักษาโรคปริทันต์อักเสบ (Periodontitis)
- การรักษาโรคปริทันต์: ทันตแพทย์อาจทำการรักษาโดยการขูดหินปูนลงไปถึงรากฟันและการเกลารากฟัน เพื่อขจัดคราบหินปูนและคราบจุลินทรีย์ที่สะสมอยู่ใต้ขอบเหงือก
- หากการอักเสบลุกลามไปถึงกระดูกที่รองรับฟัน ทันตแพทย์อาจแนะนำการผ่าตัดเหงือกเพื่อทำความสะอาดบริเวณที่เข้าถึงได้ยาก
3.ขาดวิตามิน C และ K
- ทันตแพทย์จะแนะนำการบริโภคอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน C และ K เช่น ผักผลไม้สดที่มีวิตามิน C สูง (ส้ม, สตรอเบอร์รี่, มะละกอ) และผักใบเขียวที่มีวิตามิน K สูง (บรอกโคลี, ผักโขม, คะน้า) เพื่อเสริมสร้างสุขภาพเหงือกและการแข็งตัวของเลือด
- ในกรณีที่ขาดวิตามินมาก ทันตแพทย์อาจแนะนำให้รับประทานวิตามินเสริมตามปริมาณที่เหมาะสม และอาจทำงานร่วมกับแพทย์ทั่วไปในการติดตามระดับวิตามินในร่างกายของผู้ป่วย
ทำไมการแปรงฟันจึงสำคัญ
แม้ว่า การแปรงฟัน จะเป็นกิจวัตรประจำวันที่เราทุกคนต้องทำมาตั้งแต่เด็กๆ แต่จริงๆ แล้วยังมีหลายคนที่อาจไม่ได้แปรงฟันอย่างถูกวิธี ซึ่งอาจทำให้ไม่สามารถทำความสะอาดฟันได้อย่างหมดจด การแปรงฟันอย่างถูกวิธีไม่เพียงแต่ช่วยให้ฟันของเราสะอาดเท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพช่องปากต่างๆ ได้อีกด้วย เราจึงอยากนำเสนอเคล็ดลับการแปรงฟันที่ถูกต้องมาฝากทุกคน เพื่อให้ทุกคนมีฟันที่ขาวสะอาดและสุขภาพฟันที่ดี เพียงแค่ใช้เวลาในการแปรงฟันอย่างน้อย 2 นาทีต่อครั้ง และแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง โดยเฉพาะหลังมื้ออาหาร เพื่อช่วยลดการสะสมของคราบและแบคทีเรียที่อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพช่องปากในอนาคต ลองปฏิบัติตามนี้ดูสิคะ รับรองว่าคุณจะมีฟันที่สะอาดและสุขภาพดีได้อย่างแน่นอน
วิธีแปรงฟันอย่างถูกวิธี
1. เลือกแปรงสีฟันที่เหมาะสม:
- ใช้แปรงสีฟันขนนุ่มที่สามารถเข้าถึงฟันได้ทุกซี่ เลือกขนาดแปรงให้เหมาะสมกับช่องปาก
- เปลี่ยนแปรงสีฟันทุก 3-4 เดือน หรือเมื่อขนแปรงเริ่มบาน
2. การใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์:
- ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์จะช่วยป้องกันฟันผุและเสริมสร้างความแข็งแรงให้เคลือบฟัน
- บีบยาสีฟันปริมาณเท่าเมล็ดถั่วลิสงสำหรับผู้ใหญ่ และปริมาณเท่าเมล็ดข้าวสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี
3. การวางแปรงสีฟันในช่องปาก:
- วางแปรงสีฟันทำมุมประมาณ 45 องศากับขอบเหงือก เพื่อให้ขนแปรงสัมผัสได้ทั้งฟันและขอบเหงือก
- เริ่มแปรงจากฟันกรามบนและล่าง โดยวางแปรงในลักษณะแนวนอน
4. การแปรงฟันอย่างถูกวิธี:
- ด้านหน้าของฟัน: แปรงฟันแต่ละซี่ด้วยการถูเบา ๆ เป็นวงกลมเล็ก ๆ หรือแปรงขึ้น-ลง (ในแนวตั้ง) เพื่อให้ขนแปรงเข้าไปทำความสะอาดได้ทั่วถึง
- ด้านบดเคี้ยว: แปรงในลักษณะถูไป-มา (Back-and-forth motion) บริเวณฟันกรามที่ใช้ในการบดเคี้ยวอาหาร
- ด้านหลังของฟัน: แปรงด้านหลังของฟันแต่ละซี่โดยการถูขึ้น-ลงในลักษณะแนวตั้ง
- แปรงฟันครั้งละ 2-3 นาที โดยทำความสะอาดทุกด้านของฟันอย่างทั่วถึง
5. ทำความสะอาดลิ้น:
- ใช้ขนแปรงหรือที่ขูดลิ้นทำความสะอาดลิ้นเบา ๆ เพื่อขจัดคราบแบคทีเรียและป้องกันกลิ่นปาก
6. การใช้ไหมขัดฟัน:
- ใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดระหว่างซอกฟันอย่างน้อยวันละครั้ง เพื่อกำจัดคราบจุลินทรีย์และเศษอาหารที่ติดอยู่ระหว่างซอกฟัน
7. การบ้วนปากหลังแปรงฟัน:
- บ้วนน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์หลังแปรงฟัน หรือใช้น้ำเปล่าบ้วนปากให้สะอาด แต่ควรหลีกเลี่ยงการบ้วนน้ำเปล่ามากเกินไป เพราะอาจล้างฟลูออไรด์ที่ตกค้างบนฟันออกไป
8. แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง:
- ควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง คือหลังอาหารเช้าและก่อนนอน เพื่อป้องกันการสะสมของคราบจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของฟันผุและโรคเหงือก
แปรงฟันก่อนนอนดียังไง
การแปรงฟันในเวลาก่อนนอนเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการทำความสะอาดฟันและช่องปากประจำวัน เพราะถ้าหากเราไม่แปรงฟันก่อนนอนเศษอาหารตกค้างจะย่อยและปล่อยสารพิษออกมา สะสมที่ผิวฟัน และเหงือกและทำให้ฟันของเราผุนั่นเอง การแปรงฟันก่อนนอน จึงสำคัญและจำเป็นมากที่สำคัญควรแปรงให้สะอาดด้วยนะ
ปรึกษาปัญหาด้านทันตกรรม
: เปิดให้บริการทุกวัน 10.00-20.00 น.
Facebook : Digital Dental Center Pattaya
Line : @digitaldentistry
Youtube : Digital Dental Center Pattaya
Tiktok : Digital Dental Center Pattaya